ChatGPT ทำให้คุณโง่ลงหรือไม่? ผลวิจัย MIT ชี้ผู้พึ่งพา AI มีแนวโน้มด้อยประสิทธิภาพลง
งานวิจัยจาก MIT Media Lab เผยการใช้ ChatGPT ส่งผลให้กิจกรรมในสมองลดลง ผู้ใช้มีภาระทางความคิดต่ำกว่าปกติ 32% และมีแนวโน้มสูญเสียทักษะการคิดวิเคราะห์ในระยะยาว

Key takeaway
- การใช้ ChatGPT และ AI ในการทำงานส่งผลให้กิจกรรมในสมองลดลงถึง 32% เมื่อเทียบกับการใช้เครื่องมือค้นหาแบบดั้งเดิม ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์ในระยะยาว
- ผู้ที่พึ่งพา AI มากเกินไปมีแนวโน้มที่จะมีประสิทธิภาพการทำงานแย่ลงเมื่อต้องทำงานโดยไม่มี AI ช่วย เปรียบเสมือนการฝ่อของกล้ามเนื้อสมองเมื่อไม่ได้ใช้งาน
- กลุ่มที่ใช้สมองคิดวิเคราะห์ด้วยตนเองมีความพึงพอใจสูงกว่าในแง่ของการพิจารณาด้านจริยธรรม และมีการประเมินข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณมากกว่ากลุ่มที่ใช้ AI
ในช่วงที่ AI แบบ generative กำลังได้รับความนิยมสูง นักวิจัยเริ่มศึกษาผลกระทบของเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างจริงจัง งานวิจัยก่อนหน้านี้บ่งชี้ว่าการพึ่งพา ChatGPT และเครื่องมือในลักษณะเดียวกันมากเกินไปอาจนำไปสู่พฤติกรรมเสพติด ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ลดลง และสร้างความรู้สึกโดดเดี่ยว
ล่าสุด การศึกษาจาก MIT Media Lab ได้ตอกย้ำความเสี่ยงของการใช้ LLM (Large Language Model) อย่าง ChatGPT โดยนักวิจัยพบว่าการใช้ ChatGPT ในการเขียนเรียงความส่งผลให้กิจกรรมในสมองลดลง งานวิจัยชื่อ "Your Brain on ChatGPT: Accumulation of Cognitive Debt when Using an AI Assistant for Essay Writing Task" ยังระบุว่าผู้ที่พึ่งพาเครื่องมือ AI มีทักษะการเขียนเรียงความแย่ลงเมื่อต้องทำงานโดยไม่มีความช่วยเหลือจาก AI
การศึกษานี้ทดลองกับกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก 54 คน อายุระหว่าง 18-39 ปี แบ่งเป็นสามกลุ่ม: กลุ่มที่ใช้สมองเพียงอย่างเดียว กลุ่มที่ใช้เครื่องมือค้นหาแบบดั้งเดิม และกลุ่มที่ใช้ LLM อย่าง ChatGPT
ผลการวิจัยพบว่า ผู้ที่ใช้ LLM มีภาระทางความคิด (cognitive load) ต่ำกว่าผู้ที่ใช้ซอฟต์แวร์แบบดั้งเดิมถึง 32% และมีความคับข้องใจน้อยกว่าระหว่างการทำงาน
ประเด็นสำคัญคือ ผู้ใช้ LLM ใช้ความพยายามทางจิตใจน้อยลงในการประมวลข้อมูล ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมหลายคนจึงหันไปใช้เครื่องมือ AI ในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย
น่าสนใจว่า นอกจากกิจกรรมในสมองที่สูงกว่าแล้ว กลุ่มที่ใช้สมองอย่างเดียวยังรายงานความพึงพอใจสูงกว่าในแง่ของการพิจารณาด้านจริยธรรม
นักวิจัยระบุว่า: "LLM ช่วยลดความขัดข้องในการตอบคำถามเมื่อเทียบกับเครื่องมือค้นหา อย่างไรก็ตาม ความสะดวกนี้มาพร้อมกับต้นทุนทางความคิด โดยลดแนวโน้มที่ผู้ใช้จะประเมินผลลัพธ์หรือ 'ความคิดเห็น' ของ LLM อย่างมีวิจารณญาณ นี่เน้นย้ำวิวัฒนาการที่น่ากังวลของปรากฏการณ์ 'echo chamber': แทนที่จะหายไป มันได้ปรับตัวเพื่อกำหนดรูปแบบการเปิดรับเนื้อหาของผู้ใช้ผ่านเนื้อหาที่คัดสรรด้วยอัลกอริทึม สิ่งที่ถูกจัดอันดับว่า 'ดีที่สุด' ในท้ายที่สุดได้รับอิทธิพลจากลำดับความสำคัญของผู้ถือหุ้น LLM"
การศึกษายังพบว่าเมื่อผู้เข้าร่วมที่เคยใช้ LLM ต้องทำงานเดียวกันโดยไม่มีความช่วยเหลือจาก AI ในภายหลัง ประสิทธิภาพของพวกเขาแย่ลง นักวิจัยระบุว่านี่อาจเกิดจากการถ่ายโอนภาระทางความคิดไปยัง AI กล่าวคือ การใช้เครื่องมือเช่น ChatGPT ทำให้คุณคิดน้อยลง ซึ่งอาจส่งผลให้ความสามารถลดลงในระยะยาว
การศึกษาร่วมระหว่าง Microsoft กับ Carnegie Mellon University เปรียบเทียบผลกระทบของการใช้ generative AI กับการฝ่อของกล้ามเนื้อ
หากผลการศึกษาเหล่านี้ถูกยืนยัน อาจมีผลกระทบกว้างขวาง โดยเฉพาะในวงการศึกษา การสำรวจโดย The Guardian ที่รายงานโดย AI Commission พบว่านักเรียนมักใช้เครื่องมือ generative AI เช่น ChatGPT ในการโกง
หากนักเรียนและคนทำงานพึ่งพา ChatGPT และเครื่องมือคล้ายกันมากเกินไป พวกเขาอาจสูญเสียความสามารถในการทำงานบางอย่างด้วยตนเองในระยะยาว
Why it matters
💡 บทความนี้นำเสนอผลการวิจัยล่าสุดจาก MIT Media Lab ที่น่าตื่นตาตื่นใจเกี่ยวกับผลกระทบของ ChatGPT ต่อความสามารถทางสมองของมนุษย์ ซึ่งเป็นประเด็นที่น่ากังวลสำหรับทุกคนที่ใช้ AI ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะผลการศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่าการพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง และส่งผลเสียในระยะยาว ข้อมูลนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ AI อย่างชาญฉลาดและรักษาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของตนเองไว้
ข้อมูลอ้างอิงจาก https://www.windowscentral.com/software-apps/does-chatgpt-make-you-stupid-mit-study-suggests-people-who-rely-on-ai-tools-are-worse-off