AWS ที่ทำให้อินเทอร์เน็ตล่มเกิดขึ้นหลังจาก Amazon เลิกจ้างพนักงานจำนวนมากเพื่อใช้ AI แทน

AWS ประสบปัญหาระบบล่มครั้งใหญ่ ส่งผลให้บริการออนไลน์ทั่วโลกหยุดชะงัก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจาก Amazon เลิกจ้างพนักงานจำนวนมากเพื่อนำ AI มาใช้แทน สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป

AWS ที่ทำให้อินเทอร์เน็ตล่มเกิดขึ้นหลังจาก Amazon เลิกจ้างพนักงานจำนวนมากเพื่อใช้ AI แทน

Key takeaway

  • ปัญหาการล่มของ AWS ส่งผลกระทบต่อบริการออนไลน์หลายแพลตฟอร์มทั่วโลก โดยใช้เวลาแก้ไขนานกว่าครึ่งวัน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากปัญหาการแก้ไข DNS (DNS resolution issue)
  • การตัดสินใจของ Amazon ในการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมากเพื่อนำ AI มาใช้แทน อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหา เนื่องจากขาดบุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการจัดการกับปัญหาเฉพาะหน้า
  • ผู้เชี่ยวชาญอย่าง Corey Quinn ชี้ให้เห็นว่าแม้ AI จะมีประโยชน์ แต่ไม่สามารถทดแทนประสบการณ์จริงและความรู้ภายในองค์กรที่สั่งสมมาได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาระบบที่ซับซ้อน

เมื่อ Amazon Web Services (AWS) ประสบปัญหาล่มในช่วงเช้าวันจันทร์ ส่งผลให้อินเทอร์เน็ตเกือบทั้งหมดหยุดทำงาน บริการต่างๆ ของ Amazon ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มช้อปปิ้งหรือกล้อง Ring doorbell ต่างได้รับผลกระทบอย่างหนัก นอกจากนี้ ChatGPT ก็หยุดทำงาน เกมดังอย่าง Fortnite หยุดให้บริการ รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Snapchat และแอปธนาคารต่างๆ ก็ประสบปัญหาเช่นกัน

สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือระยะเวลาที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา ปัญหาเริ่มถูกรายงานครั้งแรกเวลา 3:11 น. ตามเวลา EST และหลังจากผ่านไปสามชั่วโมง แดชบอร์ดของ AWS รายงานว่าปัญหาพื้นฐานได้รับการ "บรรเทาอย่างเต็มที่แล้ว" แต่กว่า Amazon จะประกาศว่าบริการทั้งหมดกลับมา "ทำงานเป็นปกติ" ก็เป็นเวลา 18:53 น. แล้ว นั่นหมายถึงการล่มนานกว่าครึ่งวัน ส่งผลให้เกิดความสูญเสียทางผลิตภาพคิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

สาเหตุของปัญหาถูกระบุว่าเป็นปัญหาการแก้ไข DNS (DNS resolution issue) โดย DNS หรือ Domain Name System ทำหน้าที่แปลง URL เช่น "Amazon.com" เป็น IP address ทำหน้าที่เสมือนสมุดโทรศัพท์ที่ช่วยให้ทุกอย่างเชื่อมต่อกันในโลกออนไลน์ แต่หากเบอร์โทรศัพท์ล้าสมัยหรือไม่ถูกต้อง ก็จะเกิดปัญหาการแก้ไข DNS ตามมา

Amazon เคยประสบปัญหา AWS ล่มครั้งใหญ่มาก่อน แต่จังหวะเวลาและผลกระทบของครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่เดือนหลังจากการตัดสินใจด้านบุคลากรที่น่าตกใจของยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซรายนี้ ในเดือนกรกฎาคม หน่วยงานคลาวด์คอมพิวติ้งของบริษัทได้ปลดพนักงานหลายร้อยคน หลังจากที่ CEO Andy Jassy เตือนว่าการนำ generative AI มาใช้จะนำไปสู่การเลิกจ้าง

"เมื่อเรานำ Generative AI และเอเจนต์มาใช้มากขึ้น มันควรเปลี่ยนวิธีการทำงานของเรา" Jassy กล่าวในบันทึกถึงพนักงานเมื่อเดือนมิถุนายน ตามรายงานของ Reuters "เราจะต้องการคนน้อยลงในการทำงานบางอย่างที่ทำอยู่ในปัจจุบัน และต้องการคนมากขึ้นสำหรับงานประเภทอื่น"

แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าตำแหน่งงานใดได้รับผลกระทบจากการเลิกจ้างครั้งนี้ แต่หาก Amazon กำลังพึ่งพา AI เพื่อทดแทนพนักงาน AWS ที่ถูกเลิกจ้าง เหตุการณ์ล่าสุดนี้อาจเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าความพยายามในการแทนที่พนักงานด้วยเครื่องมือ AI และเอเจนต์ AI ที่ยังไม่น่าเชื่อถือนั้นได้ย้อนกลับมาทำร้ายองค์กรเอง

งานด้านเทคนิคเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักที่มักถูกมองว่าจะถูกแทนที่ด้วย AI โดยเฉพาะในยุคที่ผู้ช่วยเขียนโค้ด AI กำลังเติบโต แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google และ Microsoft ที่สามารถจ่ายเงินเดือนสูงเพื่อดึงดูดผู้เชี่ยวชาญ ก็ยังใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โค้ด 25% ของ Google เขียนด้วย AI ตามที่ CEO Sundar Pichai เปิดเผย ส่วน Microsoft CEO Satya Nadella อ้างว่าบริษัทของเขามีตัวเลขนี้สูงเกือบหนึ่งในสาม

แม้ว่า AI อาจช่วยเร่งกระบวนการทำงานในบางกรณี (ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน โดยมีการศึกษาหลายชิ้น รวมถึงงานวิจัยด้านโปรแกรมมิ่ง พบว่า AI อาจทำให้งานช้าลงด้วยซ้ำ) แต่สิ่งหนึ่งที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้อย่างแน่นอนคือประสบการณ์จริง

Corey Quinn ผู้เชี่ยวชาญด้านคลาวด์คอมพิวติ้งและผู้เขียนจดหมายข่าว "Last Week in AWS" ได้วิจารณ์ Amazon อย่างรุนแรงในบทความบน The Register ว่าขาดความเชี่ยวชาญจากผู้มีประสบการณ์ที่ AWS ในช่วงที่เกิดปัญหา โดยเชื่อมโยงกับการเลิกจ้างที่เกิดขึ้นในบริษัท

"พวกเขาไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรกำลังเสียหายเป็นระยะเวลานานอย่างไม่น่าเชื่อ" Quinn เขียน

"คุณสามารถจ้างคนฉลาดมากมายที่จะอธิบายว่า DNS ทำงานอย่างไรในระดับเทคนิคลึก" Quinn กล่าวต่อ "แต่สิ่งเดียวที่คุณไม่สามารถจ้างได้คือคนที่จำได้ว่าเมื่อ DNS เริ่มมีปัญหา ให้ตรวจสอบระบบที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องในมุมห้อง เพราะมันเคยมีส่วนทำให้เกิดปัญหาการล่มในอดีต"

"เมื่อความรู้ภายในองค์กรนั้นหายไป คุณจะต้องสร้างความเชี่ยวชาญภายในบริษัทใหม่อีกมากมาย" Quinn เขียนสรุป "สิ่งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของบริการของคุณ — จนกระทั่งวันหนึ่งมันส่งผลกระทบอย่างมาก ในลักษณะที่น่าตื่นตาตื่นใจ ผมสงสัยว่าวันนั้นคือวันนี้"

Why it matters

💡 ข่าวนี้นำเสนอประเด็นสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของการที่ Amazon ตัดสินใจเลิกจ้างพนักงานและหันไปใช้ AI แทน จนนำไปสู่เหตุการณ์ AWS ล่มครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อระบบอินเทอร์เน็ตทั่วโลก บทความนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาเทคโนโลยี AI มากเกินไป และความสำคัญของประสบการณ์จริงของบุคลากรในการแก้ไขปัญหาระบบที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับองค์กรต่างๆ ในยุคดิจิทัล

ข้อมูลอ้างอิงจาก https://futurism.com/artificial-intelligence/aws-outage-amazon-fired-workers-ai

Read more

อเมซอนเปิดตัวต้นแบบแว่นตาอัจฉริยะ AI สำหรับพนักงานส่งของ

news

อเมซอนเปิดตัวต้นแบบแว่นตาอัจฉริยะ AI สำหรับพนักงานส่งของ

Amazon เปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะ Amelia ที่ใช้ AI ช่วยพนักงานส่งของทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มาพร้อมกล้องและจอแสดงผลในตัว ทำงานร่วมกับเสื้อกั๊กพิเศษ กำลังทดสอบกับพันธมิตรหลายราย

By
Meta ปลดพนักงาน 600 ตำแหน่งในห้องปฏิบัติการ AI Superintelligence

news

Meta ปลดพนักงาน 600 ตำแหน่งในห้องปฏิบัติการ AI Superintelligence

Meta ประกาศปลดพนักงาน 600 ตำแหน่งในแผนก Superintelligence Labs เพื่อลดความซับซ้อนขององค์กร แต่ยืนยันว่ายังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนา AI และจะเร่งจ้างนักวิจัยใหม่ในทีม TBD

By
Target ใช้ AI สร้างความแตกต่างในธุรกิจค้าปลีก

news

Target ใช้ AI สร้างความแตกต่างในธุรกิจค้าปลีก

Target เดินหน้าใช้ AI ปฏิวัติธุรกิจค้าปลีก ผ่านแพลตฟอร์ม Target Trend Brain วิเคราะห์เทรนด์ตลาด พร้อมพัฒนาระบบคัดกรองผู้ขายและยกระดับทักษะพนักงานทั่วองค์กร เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาด

By
Claude เชื่อมต่อโดยตรงกับ Microsoft 365 แล้วตอนนี้

news

Claude เชื่อมต่อโดยตรงกับ Microsoft 365 แล้วตอนนี้

Claude AI จาก Anthropic เปิดตัวตัวเชื่อมต่อ Microsoft 365 ใหม่ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งาน AI ร่วมกับแอปพลิเคชัน Microsoft ได้โดยตรง พร้อมฟีเจอร์ Enterprise Search สำหรับการค้นหาข้อมูลองค์กรแบบครบวงจร

By